วันพุธที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2556

Active/Passive Voices

Active/Passive Voices




Voice หมายถึงวิธีพูด Active Voice หมายถึงรูปกริยาซึ่งประธานเป็นผู้กระทำหรือแสดงกริยานั้นโดยตรง เช่น

The dog bit the boy. สุนัขกัดเด็กชาย ( สุนัขเป็นประธานผู้กระทำโดยตรง และเด็กชายเป็นกรรม)
Dara will present her research at the conference.
Susan is cooking dinner.
They are going to build a new house soon.

Passive Voice หมายถึงรูปกริยาซึ่งประธานเป็นผู้ถูกกระทำกริยานั้นโดยผู้อื่น

หลักการใช้ Passive Voice มีดังนี้
ให้ความสำคัญกับกรรม ( object ) ของประโยคหรือสิ่งที่ถูกกระทำมากกว่าประธาน หรือไม่สนใจว่าใครทำแต่สนใจผลที่เกิดขึ้น เช่น
Your bicycle has been damaged. รถจักรยานของคุณถูกทำเสียหาย
( ประโยคนี้ไม่สนใจว่าใครเป็นคนทำ สนใจแต่เพียงว่ามีการเสียหายเกิดขึ้น เช่นเดียวกับประโยคต่อไป)
Rules are made to be broken. ( by ? )
Police are being notified ( by? ) that three prisoners have escaped.
Everything will have been done by Tuesday.
ไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงผู้กระทำ เนื่องจากรู้กันอยู่แล้ว
The thieves were all arrested . ( เป็นทั่รู้กันอยู่ว่าผู้จับน่าจะเป็นตำรวจ )
English is spoken here. ( ผู้ที่พูดคือคนโดยทั่วไป )
เมื่อไม่ทราบว่าใครเป็นผู้กระทำ
Printing was invented in China. ( ผู้คิดค้นเป็นใครไม่ทราบ )
การทำ Active Voice ให้เป็น Passive Voice
I. ประโยคที่มีกรรมตัวเดียว ( Direct Object )

เอากรรมของประโยคขึ้นมาเป็นประธาน
ใช้ verb to be ให้ถูกต้องตามประธาน
กริยาแท้ในประโยคให้เปลี่ยนเป็นช่อง 3 ( past participle )
เอาประธานของประโยค Active ไปเป็นกรรมหลัง by
เช่น

The boy was bitten by the dog. ( เอากรรมคือเด็กชายขึ้นมาเป็นประธาน )
Research will be presented by Dara at the conference.
Dinner is being cooked by Susan.
A new house is going to be built . ( by them )

หมายเหตุ ผู้กระทำในประโยค Passive ที่เป็น phrase " by the......" อาจจะละไว้ก็ได้

สรุปการใช้ประโยค Passive Voice ของ Tenses ต่างๆ

Tenses ประธาน
กริยาช่วย
Past
Participle
เอกพจน์ พหูพจน์
Present The car/cars is are designed.
Present perfect The car/cars has been have been designed.
Past The car/cars was were designed.
Past perfect The car/cars had been had been designed.
Future The car/cars will be will be designed.
Future perfect The car/cars will have been will have been designed.
Present progressive The car/cars is being are being designed.
Past progressive The car/cars was being were being designed.
II. ประโยคที่มีกรรมตรง และกรรมรอง ( Direct & indirect object)

เมื่อประโยค Active มีกรรม 2 ตัวคืือ
กรรมตรง ( Direct Object ) = สิ่งของ
กรรมรอง ( Indirect object ) = บุคคล
เมื่อจะเปลี่ยนเป็น Passive นิยมเอากรรมรอง คือบุคคลขึ้นเป็นประธาน ถ้าจะเอากรรมตรงเป็นประธานก็ได้ แต่ต้องใส่บุพบท to ข้างหน้ากรรมรองที่เหลืออยู่ด้วย เช่น

Active:The teacher gave me a book.
Passive: I was given a book by the teacher. ( กรรมรองเป็นประธาน )
Passive : A book was given to me by the teacher. ( กรรมตรงเป็นประธาน )

Active: My father gave ten dollars to my sister.
Passive : My sister was given ten dollars by my father. ( กรรมรองเป็นประธาน )
Passive : Ten dollars were given to my sister by my father. ( กรรมตรงเป็นประธาน )

Active: The guide will show you the museum.
Passive: You will be shown the museum by the guide. ( กรรมรองเป็นประธาน )
Passive: The museum will be shown to you by the guide. ( กรรมตรงเป็นประธาน )

ตัวอย่างกริยาที่มีกรรมได้ 2 ตัวได้แก่

give answer show tell
send buy call teach
ask sell write lend
III คำกริยาที่ไม่สามารถทำให้เป็นประโยค Passive ได้คือ

กริยาที่ไม่สมบูรณ์ด้วยตัวเองซึ่งเราเรียกว่า Linking verbs ( Copular Verbs) เป็นคำกริยาที่ ต้องมีส่วนสมบูรณ์ ( complement ) เข้ามาช่วยจึงจะได้ความหมายสมบูรณ์โดยไม่ต้องมีกรรม คำเหล่านี้ได้แก่

be keep sound get prove
seem stay smell go turn
appear look taste come turn out
remain feel become grow end up, wind up
เช่น

Active voice : He became a successful business man.
จะเปลี่ียนเป็น A successful business man was become by him. ไม่ได้

ตัวอย่างของประโยคที่คำกริยาเป็น linking verb เช่น

You look lovely.
My hand feel cold.
That sounds good to me.
It smells funny in this room.

IV ใช้ get แทน be ในประโยค Passive ( ในการใช้อย่างไม่เป็นทางการ )

คำกริยาต่อไปนี้ อาจใช้กับ get แทน verb to be

tire dress upset invite pay do marry,divorce
hurt accustom confuse bore hire disgust stuck
lose worry drink pack fire engage hit

He was lost = He got lost.
She wasn't invited = She didn't get invited.
They were married last year. = They got married last year.
I didn't stay for the end of the movie because I got bored.
There was an accident, but luckily nobody got hurt.

การใช้ประโยคโดยทั่วไปจะใช้เป็น Active Voice และหลีกเลี่ยงการใช้ Passive เท่าที่จะทำได้ แต่หากจะมีการใช้ Passive Voice ก็มักจะใช้ในการเขียนเอกสารที่เป็นทางการ ข่าว และรายงาน ทางวิทยาศาสตร์.

เช่น ในข่าวในหนังสือพิมพ์

The woman was killed at. . . .
The boy was struck by. . . ."
President Kennedy was killed. ( ไม่ใช้ Oswald killed President Kennedy.)
It was reported that. . . .
It was recommended that. . . ..
It is reported that......
This letter will confirm. . . . ( ไมใช่ I write this letter to confirm. . . . )
He was jailed for three months.

ในรายงานการศึกษาวิจัย ซึ่งผู้อ่านจะสนใจผลมากกว่าสนใจผู้กระทำ

It can be seen that.......
Heart disease is considered the leading cause of death in the United States
The interviews were conducted in groups.
The sample was weighed to find its dry weight .

Easy Question Tag

Question Tag: กริยาวิเศษณ์บอกระดับ
Question Tags, Tag Questions หรือ Question Tails คือ รูปของประโยคคำถามย่อ (Mini question) ที่นำมาใส่ท้ายประโยคบอกเล่า เพื่อเป็นการทิ้งท้ายประโยคให้ผู้สนทนาอีกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงความเห็นต่อความคิดหรือประโยคนั้นๆ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว Question Tag จะนิยมใช้กันในภาษาพูด (Spoken language)มากกว่าภาษาเขียน (Written language)

โครงสร้างของ Question Tags

Statement (ประโยคหลัก)
Tags/Tails (ส่วนต่อท้าย หรือ หาง)
Positive Statement (+),
Negative Tag (-)?
Negative Statement (-),
Positive Tag (+)?
*หมายเหตุ Question Tags หากอยู่ในรูปปฏิเสธ (Negative Tag) จะต้องอยู่ในรูปย่อเท่านั้น เช่น aren’t (are not/am not), don’t (do not) shan’t (shall not), won’t (will not) และอื่นๆ

จุดประสงค์ของการใช้ Question Tags

เพื่อแสดงความมั่นใจ (confidence) หรือ ความไม่มั่นใจ (lack of confidence), ความสุภาพ (politeness), การเน้นย้ำ (emphasis), การประชดประชัน (irony) ซึ่งอาจมีความหมายคล้ายกับ “Am I right?” หรือ “Do you agree?” นั่นเอง

หลักการใช้ Question Tags

1. เมื่อประโยคขึ้นต้นเป็นประโยคบอกเล่า เราจะต้องใช้ Question Tags ในรูปปฏิเสธ (Negative Tag)
She loves shopping, doesn’t she?
They have a lot of friends, don’t they?
2. เมื่อประโยคขึ้นต้นเป็นประโยคปฏิเสธ เราจะต้องใช้ Question Tags ในรูปบอกเล่า (Positive Tag)
He doesn’t like to cook, does he?
We don’t want to go to school, do we?

3. เมื่อประโยคหลักมีกริยาแท้ (Main verb) เป็น Verb to have ให้ใช้ Verb to do มาสร้าง Question Tags
We have a lot of friends, don’t we?
She has a beautiful smile, doesn’t she?
* หาก have ในประโยคขึ้นต้น แปลว่า “มี” อาจจะใช้ Verb to do หรือ Verb to have มาสร้างเป็น Question Tags ก็ได้

4. เราสามารถนำ Auxiliary Verbs (กริยาช่วย) มาสร้าง Question Tags ได้ เช่น can, could, may , might, will, shall, ought to, should, V. to be , etc.

We should buy a house, shouldn’t we?
You ought to do your homework, oughtn’t you?
5. ประธานใน Question Tags ต้องเป็น I/You/We/They/He/She/It เท่านั้น
Somsak loves to go to the zoo, doesn’t he?
The kids are sleeping now, aren’t they?
ยกเว้น หากประธานเป็น “there” เราสามารถนำ “there” มาใช้เป็นประธานใน Question Tag ได้ เช่น
There are a lot of kids in your house, aren’t there?

6. คำว่า need (ต้องการ) และ dare (กล้าหาญ) สามารถใช้ Question Tags ได้โดยการใช้ Verb to do มาช่วย หรือ ใช้ need และ dare เลยก็ได้
They need help, don’t they?
You dare not taste that food, dare you?
They need help, needn’t they?
You dare not taste that food, do you?

7. เมื่อประโยคเป็นรูปแบบของคำสั่ง หรือ ขอร้อง ที่อยู่ในรูปของประโยคบอกเล่า (Positive Statement)
สามารถใช้ Question Tags ได้ทั้งในรูปบอกเล่า (Positive Tag) หรือ รูปปฏิเสธ (Negative Statement) โดยเรามักจะใช้ can, will และ would เข้ามาช่วยสร้างประโยคในส่วนของ Question Tags

Go to sleep, will you?
Stop laughing at me, won’t you?
Help me with this, can you?
8. หากประโยคขึ้นต้นด้วย Let's (Let us) เราจะใช้ Question Tags ในรูปของ “, shall we?” และหากประโยคขึ้นต้นเป็น Let + object+V.1 เราจะใช้ Question Tags ในรูปของ “, will you?” เช่น

Let’s go to the beach, shall we?
Let him go, will you?
9. หากประธานเป็น everyone, everybody, everything, no one, nobody, anybody, neither ให้เราใช้ theyในส่วนของ Question Tags

Everyone is smiling at you, aren’t they?
None of the students went to the school yesterday, did they?

10. หากประโยคประกอบด้วยคำที่มีความหมายเชิงปฏิเสธ (Negative meaning) เช่น seldom (ไม่ใคร่จะ), rarely (ไม่ใคร่จะ), scarcely (แทบจะไม่), hardly (เกือบไม่), barely (เกือบจะไม่) Question Tags จะต้องอยู่ในรูปของ Positive tags เท่านั้น

She scarcely seems to care, does she?
He rarely comes here, does he?
- I seldom got asleep, did I?
- Few students can solve the problems, can they?
- They hardly spoke to anyone, did they?

11. หากประโยคเป็นประโยคซับซ้อน (complex) เรามักจะใช้ Verb ในประโยคหลัก (Main Clause) ใน Question Tags ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการเน้นที่จะบอกหรือพูดถึงสิ่งใด

If I did my homework, I wouldn’t be punished, would I?
He said he would talk to her, didn’t he?
I think we should go now, shouldn’t we?
วิธีการตอบประโยค Question Tags

เรามักใช้ yes หรือ no เข้ามาช่วยในการตอบ แล้วตามด้วย Subject (ประธาน) และ Auxiliary Verbs (กริยาช่วย) เช่น
She is beautiful, isn’t she?
Yes, she is. / No, she isn’t.

They didn’t study for the exam, did they?
Yes, they did. / No, they didn’t.

การออกเสียง
เราสามารถเปลี่ยนความหมายของประโยค Question Tags ได้โดยการ ขึ้นเสียงสูง หรือ ลงเสียงต่ำ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว หากเรา…

- ขึ้นเสียงที่ท้ายประโยค จะ เปรียบเสมือน เรากำลังตั้งคำถามกับผู้สนทนาอีกฝ่ายด้วยความไม่แน่ใจ หรือ ต้องการถามความเห็นที่แท้จริงของผู้สนทนาอีกฝ่าย

- ลงเสียงต่ำที่ท้ายประโยค จะ เปรียบเสมือน เราต้องการให้ผู้สนทนาอีกฝ่ายนั้นเห็นด้วยกับสิ่งที่เราพูด

วันเสาร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2556

การเป็นโสดไม่ได้หมายความว่าคุณอ่อนแอ แต่มันหมายความว่าคุณเข้มแข็งพอที่จะรอในสิ่งที่คุณคู่ควรต่างหาก

การเป็นโสดไม่ได้หมายความว่าคุณอ่อนแอ แต่มันหมายความว่าคุณเข้มแข็งพอที่จะรอในสิ่งที่คุณคู่ควรต่างหาก

ชีวิตคนเราสั้นเกินกว่าที่จะเสียเวลาให้กับคนที่พรากความสุขไปจากเรา

วันพุธที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2556

Parts of Speech

Parts of Speech ส่วนต่างๆ ของ คำพูด
แต่ถ้าจะแปลให้เข้าใจกันง่ายๆ ก็แปลได้ว่า คำชนิดต่างๆ ซึ่งนำมาร้อยเรียงเป็นวลี เป็นประโยค ที่นำไปใช้สนทนาเป็นเรื่องเป็นราว หรือนำไปแต่งหนังสือเป็นเล่มหนาๆ ก็มาจาก pars of speech ทั้งนั้น ซึ่งมีอยู่ทั้งหมดที่เข้าใจกันทั่วๆ มี 7 ชนิด ได้แก่
Noun (นาวน) คำนาม คือ คำที่ใช้แทน คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ ความรู้สึก เป็นต้น เช่น man, teacher (คน), cat, dog(สัตว์), car, pen, (สิ่งของ) hospital, station (สถานที่), happiness, sorrow (ความรู้สึก)
Pronoun (โพรนาวน) คำสรรพนาม คือ คำที่ใช้แทนคำนาม เช่น I, me, you, he, him, she, her, it, we, us, they, them เป็นต้น
Verb (เวิร์บ) คำกริยา คือ คำที่แสดงการกระทำ หรือบอกสภาวะ เช่น go, walk, swim, run, is, am, are, has, have เป็นต้น
Adverb (แอดเวิร์บ) คำกริยาวิเศษณ์ คือ คำทีใช้ขยายคำกริยาว่า ทำเมื่อไหร่ อย่างไร เช่น yesterday, tomorrow, fast, slowly เป็นต้น
Adjective (แอดเจ็คทิฟ) คำคุณศัพท์ คือ คำที่ใช้บอกลักษะคำนาม ว่ามีรูปร่างหน้าตา หรือลักษณะอย่างไร เช่น tall, short, fat, thin, white, black, far, near เป็นต้น
Conjunction (คอนจั๊งชัน) คำสันธาน คือ คำที่ใช้เชื่อมคำ วลี หรือประโยคเข้าด้วยกัน เช่น and, but, or, for, so เป็นต้น
Preposition (เพร็บพะสิชัน) คำบุรพบท คือคำที่ใช้แสดงความสัมพันธ์กันของคำหรือวลีในประโยค เช่น in, on, at, to, by, from เป็นต้น
Interjection (อินเทอะ่เจ็๊คชัน) คำอุทาน คือคำที่ใช้แสดงความตื่นเต้น ตกใจ เจ็บปวด ความโกรธ เป็นต้น เช่น wow, oh, uh เป็นต้น

Easy Tense

Tense

Tense คือรูปแบบ(หรือโครงสร้าง)ของกริยา ที่แสดงให้เราทราบว่า การกระทำหรือเหตุการ นั้นๆเกิดขึ้นเมื่อใด ซึ่งเรื่อง tense นี้เป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเราใช้ tense ไม่ถูก เราก็จะสื่อภาษากับเขา ไม่ได้ เพราะในประโยคภาษาอังกฤษนั้นจะอยู่ในรูปของ tense เสมอ ซึ่งต่างกับภาษาไทยที่เราจะมีข้อความบอกว่าาเกิดขึ้นเมื่อใดมาช่วยเสมอ แต่ภาษาอังกฤษจะใช้รูป tense นี้มาเป็นตัวบอก ดังนี้การศึกษาเรื่อง tense จึงเป็นเรื่องจำ เป็น.

Tense ในภาษาอังกฤษนี้จะแบ่ง ออกเป็น 3 tense ใหญ่ๆคือ

1. Present tense ปัจจุบัน

2. Past tense อดีตกาล

3. Future tense อนาคตกาล

ในแต่ละ tense ยังแยกย่อยได้ tense ละ 4 คือ

1 . Simple tense ธรรมดา(ง่ายๆตรงๆไม่ซับซ้อน).

2. Continuous tense กำลังกระทำอยู่(กำลังเกิดอยู่)

3. Perfect tense สมบูรณ์(ทำเรียบร้อยแล้ว).

4. Perfect continuous tense สมบูรณ์กำลังกระทำ(ทำเรียบร้อยแล้วและกำลัง ดำเนินอยู่ด้วย).





โครงสร้างของ Tense ทั้ง 12 มีดังนี้

Present Tense

[1.1] S + Verb 1 + ……(บอกความจริงที่เกิดขึ้นง่ายๆ ตรงๆไม่ซับซ้อน).

[Present] [1.2] S + is, am, are + Verb 1 ing + …(บอกว่าเดี๋ยวนี้กำลังเกิดอะไร อยู่).

[1.3] S + has, have + Verb 3 + ….(บอกว่าได้ทำมาแล้วจนถึง ปัจจุบัน).

[1.4] S + has, have + been + Verb 1 ing + …(บอกว่าได้ทำมาแล้วและกำลังทำ ต่อไปอีก).

Past Tense

[2.1] S + Verb 2 + …..(บอกเรื่องที่เคยเกิดมาแล้วใน อดีต).

[Past] [2.2] S + was, were + Verb 1 +…(บอกเรื่องที่กำลังทำอยู่ในอดีต).

[2.3] S + had + verb 3 + …(บอกเรื่อที่ทำมาแล้วในอดีตใน ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง).

[2.4] S + had + been + verb 1 ing + …(บอกเรื่องที่ทำมาแล้วอย่างต่อ เนื่องไม่หยุด).

Future Tense

[3.1] S + will, shall + verb 1 +….(บอก เรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต).

[Feature] [3.2] S + will, shall + be + Verb 1 ing + ….(บอกว่าอนาคตนั้นๆกำลังทำอะไร อยู่).

[3.3] S + will,s hall + have + Verb 3 +…(บอกเรื่องที่จะเกิดหรือสำเร็จ ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง).

[3.4] S + will,shall + have + been + verb 1 ing +.. ..(บอกเรื่องที่จะทำอย่างต่อเนื่องในเวลาใด - เวลาหนึ่งในอนาคตและ จะทำต่อไปเรื่อยข้างหน้า).



หลักการใช้แต่ละ tense มีดังนี้

[1.1] Present simple tense เช่น He walks. เขาเดิน,

1. ใช้กับ เหตุการที่เกิดขึ้นตามความจริงของธรรมชาติ และคำสุภาษิตคำ พังเพย.

2. ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นความจริงในขณะที่พูด (ก่อนหรือหลังจะไม่จริงก็ตาม).

3. ใช้กับกริยาที่ทำนานไม่ได้ เช่น รัก, เข้าใจ, รู้ เป็นต้น.

4. ใช้กับการกระทำที่คิดว่าจะเกหิดขึ้นในอนาคตอันใกล้(จะมีคำวิเศษณ์บอกอนาคตร่วมด้วย).

5. ใช้ในการเล่าสรุปเรื่องต่างๆในอดีต เช่นนิยาย นิทาน.

6. ใช้ในประโยคเงื่อนไขในอนาคต ที่ต้นประโยคจะขึ้นต้น ด้วยคำว่า If (ถ้า), unless (เว้นเสียแต่ว่า), as soon as (เมื่อ,ขณะที่), till (จนกระทั่ง) , whenever (เมื่อไรก็ ตาม), while (ขณะที่) เป็นต้น.

7. ใช้กับเรื่องที่กระทำอย่างสม่ำเสมอ และมีคำวิเศษณ์บอกเวลาที่สม่ำเสมอร่วมอยู่ด้วย เช่น always (เสมอๆ), often (บ่อยๆ), every day (ทุกๆวัน) เป็นต้น.

8. ใช้ในประโยคที่คล้อยตามที่เป็น [1.1] ประโยคตามต้องใช้ [1.1] ด้วยเสมอ.





[1.2] Present continuous tense เช่น He is walking. เขากำลังเดิน.

1. ใช้ในเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ในขณะที่พูด(ใช้ now ร่วมด้วยก็ได้ โดยใส่ไว้ต้น ประโยค, หลังกริยา หรือสุดประโยคก็ ได้).

2. ใช้ในเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ในระยะเวลาอันยาวนาน เช่น ในวันนี้ ,ในปีนี้ .

3. ใช้กับเหตุการณ์ที่ผู้พูดมั่นใจว่าจะต้องเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ เช่น เร็วๆนี้, พรุ่งนี้.

*หมายเหตุ กริยาที่ทำนานไม่ได้ เช่น รัก ,เข้าใจ, รู้, ชอบ จะนำมาแต่งใน Tense นี้ไม่ได้.



[1.3] Present perfect tense เช่น He has walk เขาได้เดินแล้ว.

1. ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต และต่อเนื่องมาจนถึง ปัจจุบัน และจะมีคำว่า Since (ตั้งแต่) และ for (เป็นเวลา) มาใช้ร่วมด้วยเสมอ.

2. ใช้กับเหตุการณ์ที่ได้เคยทำมาแล้วในอดีต (จะกี่ครั้งก็ได้ หรือจะทำอีกใน ปัจจุบัน หรือจะทำในอนาคต ก็ได้)และจะมีคำ ว่า ever (เคย) , never (ไม่เคย) มาใช้ร่วมด้วย.

3. ใช้กับเหตุการณ์ที่จบลงแล้วแต่ผู้พูดยังประทับใจอยู่ (ถ้าไม่ประทับใจก็ใช้ Tense

4. ใช้กับ เหตุการที่เพิ่งจบไปแล้วไม่นาน(ไม่ได้ประทับใจอยู่) ซึ่งจะมีคำเหล่านี้มาใช้ร่วมด้วยเสมอ คือ Just (เพิ่งจะ), already (เรียบร้อยแล้ว), yet (ยัง), finally (ในที่สุด) เป็นต้น.







[1.4] Present perfect continuous tense เช่น He has been walking . เขาได้กำลังเดินแล้ว.

* มีหลักการใช้เหมือน [1.3] ทุกประการ เพียงแต่ว่าเน้นว่าจะทำต่อไปในอนาคตด้วย ซึ่ง [1.3] นั้นไม่เน้นว่าได้กระทำอย่างต่อเนื่องหรือไม่ ส่วน [1.4] นี้เน้นว่ากระทำมาอย่างต่อเนื่องและจะกระทำต่อไปในอนาคตอีกด้วย.



[2.1] Past simple tense เช่น He walked. เขาเดิน แล้ว.

1. ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลงแล้วในอดีต มิได้ต่อเนื่องมาถึงขณะ ที่พูด และมักมีคำต่อไปนี้มาร่วมด้วยเสมอในประโยค เช่น Yesterday, year เป็นต้น.

2. ใช้กับเหตุการณ์ที่ทำเป็นประจำในอดีตที่ผ่านมาในครั้งนั้นๆ ซึ่งต้องมีคำวิเศษณ์บอกความถี่ (เช่น Always, every day ) กับคำวิเศษณ์ บอกเวลา (เช่น yesterday, last month ) 2 อย่างมาร่วมอยู่ด้วยเสมอ.

3. ใช้กับเหตุการณ์ที่ได้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต แต่ปัจจุบันไม่ได้เกิด อยู่ หรือไม่ได้เป็นดั่งในอดีตนั้นแล้ว ซึ่งจะมีคำว่า ago นี้ร่วมอยู่ด้วย.

4. ใช้ในประโยคที่คล้อยตามที่เป็น [2.1] ประโยคคล้อยตามก็ต้อง เป็น [2.1] ด้วย.



[2.2] Past continuous tense เช่น He was walking . เขากำลังเดินแล้ว

1. ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกัน { 2.2 นี้ไม่นิยมใช้ตามลำพัง - ถ้าเกิดก่อนใช้ 2.2 - ถ้าเกิดทีหลังใช้ 2.1}.

2. ใช้กับเหตุการณ์ที่ ไดกระทำติดต่อกันตลอดเวลาที่ได้ระบุไว้ในประโยค ซึ่งจะมีคำบอกเวลาร่วมอยู่ด้วยในประโยค เช่น all day yesterday etc.

3. ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่กำลังทำในเวลาเดียวกัน(ใช้เฉพาะกริยาที่ทำได้นานเท่านั้น หากเป็นกริยาที่ทำนานไม่ได้ก็ใช้หลักข้อ 1 ) ถ้าแต่งด้วย 2.1 กับ 2.2 จะดูจืดชืดเช่น He was cleaning the house while I was cooking breakfast.



[2.3] Past perfect tense เช่น He had walk. เขาได้เดินแล้ว.

1. ใช้กับ เหตุการณ์ 2 อย่างที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอดีต มีหลักการใช้ดังนี้.

เกิดก่อนใช้ 2.3 เกิดทีหลังใช้ 2.1.

2. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำอันเดียวก็ได้ในอดีต แต่ต้องระบุชั่วโมงและวันให้แน่ชัดไว้ในทุกประโยคด้วยทุกครั้ง เช่น She had breakfast at eight o’ clock yesterday.



[2.4] past perfect continuous tense เช่น He had been walking.

มีหลักการใช้เหมือนกับ 2.3 ทุกกรณี เพียงแต่ tense นี้ ต้องการย้ำถึงความต่อเนื่องของการกระทำที่ 1 ว่าได้กระทำต่อเนื่องไปจนถึงการกระทำที่ 2 โดยมิได้หยุด เช่น When we arrive at the meeting , the lecturer had been speaking for an hour . เมื่อพวกเราไปถึงที่ ประชุม ผู้บรรยายได้พูดมาแล้ว เป็นเวลา 1 ชั่วโมง.







[3.1] Future simple tense เช่น He will walk. เขาจะเดิน.

ใช้กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งจะมีคำว่า tomorrow, to night, next week, next month เป็นต้น มาร่วมอยู่ด้วย.

* Shall ใช้กับ I we.

Will ใช้กับบุรุษที่ 2 และนามทั่วๆไป.

Will, shall จะใช้สลับกันในกรณีที่จะให้คำมั่นสัญญา, ข่มขู่บังคับ, ตกลงใจแน่วแน่.

Will, shall ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติหรือจงใจก็ได้.

Be going to (จะ) ใช้กับความจงใจของมนุษย์ เท่านั้น ห้ามใช้กับเหตุการณ์ของธรรมชาติและนิยมใช้ใน ประโยคเงื่อนไข.



[3.2] Future continuous tense เช่น He will be walking. เขากำลังจะ เดิน.

1. ใช้ในการบอกกล่าวว่าในอนาคตนั้นกำลังทำอะไรอยู่ (ต้องกำหนดเวลาแน่นอน ด้วยเสมอ).

2. ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่จะเกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต มีกลักการใช้ดังนี้.

- เกิดก่อนใช้ 3.2 S + will be, shall be + Verb 1 ing.

- เกิดทีหลังใช้ 1.1 S + Verb 1 .





[3.3] Future prefect tens เช่น He will walked. เขาจะได้เดินแล้ว.

1. ใช้กับเหตุการณ์ที่จะ เกิดขึ้นหรือสำเร็จลงในเวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคต โดยจะมีคำว่า by นำหน้ากลุ่มคำที่บอกเวลา ด้วย เช่น by tomorrow , by next week เป็น ต้น.

2. ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่จะเกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต มีหลักดังนี้.

- เกิดก่อนใช้ 3.3 S + will, shall + have + Verb 3.

- เกิด ที่หลังใช้ 1.1 S + Verb 1 .



[3.4] Future prefect continuous tense เช่น He will have been walking. เขาจะได้กำลัง เดินแล้ว.

ใช้เหมือน 3.3 ต่างกันเพียงแต่ว่า 3.4 นี้เน้นถึงการกระทำที่ 1 ได้ทำต่อเนื่องมาจนถึงการกระทำที่ 2 และจะกระทำต่อไปในอนาคต อีกด้วย.

* Tense นี้ไม่ค่อยนิยมใช้บ่อย นัก โดยเฉพาะกริยาที่ทำนาน ไม่ได้ อย่านำมาแต่งใน Tense นี้เด็ดขาด.

วันจันทร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2556

กริยา 3 ช่อง คือ อะไร คือคำเรียกที่ให้ง่ายแก่การเข้าใจ เพราะมันมีสามช่องนั่นเอง กริยาสามช่องนี้จะนำไปใช้เมื่อเราเรียนรู้ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษเรื่อง Tense ครับ เพราะโครงสร้างของแต่ละ Tense ไม่เหมือนกัน บางทีก็ใช้ช่องที่หนึ่งบ้าง สองบ้าง หรือสามบ้าง ขึ้นอยู่กับว่าเป็น Tense อะไร หลังจากที่เรียนเรื่อง Tense เข้าใจแล้วรับรองว่าจะหายงงเลยครับว่าที่เรียกว่าสามช่องเพราะเหตุใด กริยา 3 ช่อง ที่ใช้บ่อยๆ ก็มีตามที่คัดมาให้ด้านล่าง คำที่พิมพ์หนาหมายถึง คำที่ใช้บ่อยสุดๆ ต้องจำให้ได้เลย
Irregular Verb
กริยาอปกติ ช่อง 1 ช่อง 2 ช่อง 3 แปล
1 be = is, am, are was, were been เป็น อยู่ คือ
2 become (บิคั๊ม) became (บิเค๊ม) become กลายเป็น
3 begin (บิกิ๊น) began (บิแก๊น) begun (บิกั๊น) เริ่มต้น
4 bet เบ็ท bet เบ็ท bet พนัน
5 bite ไบท bit บิท bitten (or bit) บิทเทิน กัด
6 bleed บลีด bled เบล็ด bled เลือดออก
7 blow บโล blew บลู blown บโลน พัด เป่า ตี
8 break เบรก broke บโรค broken บโรคเคิน แตก
9 bring บริง brought บรอท brought นำมา เอามา
10 build บิลด built บิลท built สร้าง
11 burst เบิสท burst burst ระเบิด
12 buy บาย bought บอท bought ซื้อ
13 catch แค็ทช caught คอท caught จับ , ขึ้นรถ
14 choose ชูส chose โชส chosen โชเซิน เลือก
15 come คัม came เคม come มา 16 cost คอสท cost cost มีราคา
17 cut cut cut ตัด
18 dig ดิก dug ดัก dug ขุด
19 dive ไดฝ dived (or doveโดฝ) dived ไดฝด ดำนํ้า
20 do ดู did ดิด done ดัน ทำ
21 draw ดรอ drew ดรู drawn ดรอน ลาก วาด เขียน
22 drink ดริงค drank ดแรงค drunk ดรังค ดื่ม
23 drive ไดรฝ drove ดโรฝ driven ดริฝเฝิน ขับ(รถ)
24 eat อีท ate เอท eaten อีทเทิน กิน
25 fall ฟอล fell เฟ็ล fallen ฟอลเลิน ตก หล่น
26 feel ฟีล felt เฟ็ลท felt รู้สึก
27 fight ไฟท fought ฟอท fought ต่อสู้
28 find ไฟนด found เฟานดึ found พบ
29 fly ฟลาย flew ฟลู flown ฟโลน บิน
30 forbid ฟอบิด forbade ฟอเบด forbidden ฟอบิดเดิน ห้าม
31 forget ฟอเก็ท forgot ฟอก็อท forgotten ฟอก็อทเทิน ลืม
32 freeze ฟรีส froze โฟรส frozen โฟรสเซิน แข็งตัว หนาว
33 get เก็ท got ก็อท got เอา ได้รับ
34 give กิฝ gave เกฝ given กิฝเฝิน ให้
35 go โก went เว็นท gone กอน ไป
36 grind กรายด ground กราวด ground บด ลับ
37 grow กโร grew กรู grown กโรน เติบโต, ปลูก
38 hang (pictures) แฮง hung ฮัง hung แขวน ห้อย
39 hang (people) แฮง hanged แฮงด hanged แขวนคอ
40 have แฮฝ had แฮด had มี
41 hear เฮีย heard เฮิด heard ได้ยิน
42 hide ฮายด hid ฮิท hidden ฮิดเดิน ซ่อน
43 hurt เฮิท hurt hurt ทำร้าย
44 know โน knew นู known โนน รู้
45 lay เล laid เลด laid วาง ออกไข่
46 lead ลีด led เหล็ด led นำ
47 learn เลิน learnt เลินท learnt เรียนรู้
48 leave ลีฝ left เล็ฟท left ละทิ้ง, จากไป
49 lend เล็นด lent เล็นท lent ให้ยืม
50 lie ลาย lay เล lain เลน นอน 51 light ไลท lit ลิท lit จุดไฟ
52 lose ลูส lost ลอสท lost แพ้ ทำหาย
53 make เมค made เมด made ทำ
54 meet มีท met เม็ท met พบ
55 mistake มิสเตค mistook มิสตุค mistaken มิสเตคเคิน ทำผิด
56 pay เพ paid เพด paid จ่าย
57 put พุท put put วาง
58 quit ควิท quitted ควิทเท็ด (or quit) quit ควิท เลิก
59 read หรีด read เหร็ด read เหร็ด อ่าน
60 ride รายด rode โรด ridden ริดเดิน ขี่
61 ring ริง rang แรง rung รัง สั่น (กระดิ่ง)
62 rise ไรซ rose โรส risen ริสเซิน ขึ้น ลุกขึ้น
63 run รัน ran แรน run วิ่ง
64 say เซ said เซด said พูด
65 see ซี saw ซอ seen ซีน เห็น
66 seek ซีค sought ซอท sought ค้นหา
67 sell เซ็ล sold โซลด sold ขาย
68 set เซ็ท set set จัด
69 shake เชค shook ชุค shaken เขย่า สั่น
70 shine ชายน shone โชน shone ส่องแสง
71 shrink ชริงค shrank ชแรงค shrunk ชรัง หดลง สั้นลง
72 sing ซิง sang แซง sung ซัง ร้องเพลง
73 sink ซิงค sank แซงค sunk ซังค จม ถอยลง
74 sit ซิท sat แซ็ท sat แซ็ท นั้ง
75 slide สไลด slid สลิด slid สื่นไถล, เลื่อนไป
76 sleep สลีพ slept สเล็พท slept นอนหลับ
77 speak สปีค spoke สโปค spoken สโปเคิน พูด
78 spin สปิน spun สปัน spun ม้วน กรอ ปั่นฝ้าย
79 split สปลิท split split แตก, แยก
80 spring สปริง sprang สแปรง sprung สปรัง โดดอย่างเร็ว, เด้ง
81 sting สติง stung สตัง stung สตัง ต่อย, แทง
82 stink สติงค stank สแตงค stunk สตังค ส่งกลิ่นเหม็น
83 strike สไตรค struck สตรัค struck ตี, ต่อย? กระทบ
84 string สตริง strung สตรัง strung ผูกเชือก ขึงสาย
85 swear สแว swore สวอ sworn สวอน สาบาน ปฏิญาณ
86 swell สเว็ล swelled สเว็ลด swollen สวอลเลิน โตขึ้น หนาขึ้น
87 swim สวิม swam สแวม swum ว่ายนํ้า
88 swing สวิง swung สวัง swung แกว่ง, เหวี่ยง
89 take เทค took ทุค taken เทคเคิน เอา พาไป
90 teach ทีช taught ทอท taught สอน
91 tear แท tore ทอ torn ทอน ฉีก ขาด
92 tell เท็ล told โทลด told บอก
93 think ธิง thought ธอท thought คิด
94 throw ธโร threw ธรู thrown ธโรน เหวี่ยง ขว้าง
95 wake เวค woke โวค waken เวคเคิน ตื่น, ปลุก
96 wear แว wore วอ worn วอน สวม, ใส่
97 weave วีฝ wove โวฝ woven โวฝเฝิน ทอผ้า, สาน
98 weep วีพ wept เว็พท wept ร้องไห้ 99 win วิน won ว็อน won ชนะ
100 write ไรท wrote โรท written ริทเทิน เขียน
REGULAR VERB
กริยาปกติ ช่อง 1 ช่อง 2 ช่อง 3 แปล
1 answer answered answered ตอบ (คำถาม) รับ (โทรศัพท)
2 arrive arrived arrived มาถึง ไปถึง
3 attend อะเท็นด attended อะเท็นเด็ด attended (เข้าร่วม) ประชุม
4 beg เบก begged เบกด begged ขอ
5 call คอล called คอลด called เรียก โทรหา
6 change เชนจึ changed เชนจดึ changed เปลี่ยน
7 clean คลีน cleaned คลีน cleaned ทำความสะอาด
8 cook คุค cooked คุคท cooked ทำอาหาร
9 cry คราย cried ครายด cried ร้องไห้
10 dance แดนซ danced แดนซท danced เต้นรำ
11 die ดาย died ดายด died ตาย
12 deliver ดิลิฝเวอะ deliverd ดิลิฝเวิด deliverd ส่งถึงที่
13 drop ดร็อพ dropped ดร็อพท dropped (น้ำ) หยด
14 end เอนด ended เอนดิด ended จบ
15 fix ฟิกซ fixed ฟิกซท fixed ซ่อม
16 hate เฮท hated เฮททิด hated เกลียด
17 help เฮ็ลพ helped เฮ็ลพท helped ช่วย
18 kiss คิส kissed คิสท kissed จูบ
19 lift ลิฟท lifted ลิฟเท็ด lifted ยก
20 listen ลิซเซิน listened ลิซเซินด listened ลิซเซินด ฟัง
21 live ลิฝ lived ลิฝด lived อาศัยอยู่
22 look ลุค looked ลุคท looked มอง
23 love เลิฝ loved เลิฝด loved รัก
24 move มูฝ moved มูฝด moved มูฝด ย้าย ขยับ
25 need นีด needed นีดเด็ด needed นีดเด็ด ต้องการ
26 paint เพ๊นท painted เพ๊นทิด painted วาดภาพ ระบายสี
27 plan แพลน planned แพลนด planned วางแผน
28 play เพล played พเลด played เล่น
29 rain เรน rained เรนด raind ฝนตก
30 return returned returned กลับคืน
31 serve เสิฝ served เสิฝ served เสิร์ฟ
32 shop ช็อพ shopped ช็อพท shopped จ่ายตลาด
33 smoke สโมค smoked สโมคท smoked สโมคท สูบบุหรี่
34 sneeze สนีส sneezed สนีสด sneezed จาม
35 snow สโน snowed สโนด snowed หิมะตก
36 stay สเต stayed สเตด stayed พักอาศัย
37 stop สต็อพ stopped สต็อพท stopped หยุด
38 study สตัดดิ studied สตัดดิด studied เรียน
39 talk ทอค talked ทอคท talked สนทนา
40 travel แทรเวิล traveled แทรเวิลด traveled ท่องเที่ยว
41 visit วิสิท visited วิสิทเท็ด visited วิสิทเท็ด เยี่ยม เที่ยว
42 wait เวท waited เวททิด waited รอ